พฤติกรรมแมว

แมวไทยมีพฤติกรรมในการติอต่อสื่อสารระหว่างแมวด้วยกันเพื่อที่จะแสดงออกในความรู้สึกที่ต้องการสื่อทางอารมณ์ ความรู้สึก อาณาเขต เป็นต้นแมวจะแสดงพฤติกรรมด้วยลักษณะท่าทาง และเสียงร้อง เช่น การแสดงออกของใบหน้า หู และ กิริยาท่าทางต่างๆ ตลอดจนการส่งสัญญาณโดยการใช้กลิ่น เป็นต้น
การที่คนเราใกล้ชิดคุ้นเคยกับแมวจะทำให้สามารถรับรู้ถึงพฤติกรรมต่างๆ และเข้าใจความหมายเหล่านั้นได้ ทำให้เกิดความรัก ความเอ็นดูโดยไม่รู้ตัว ผู้ที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับแมวจะไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ ดังนั้น ผู้ที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงแมวควรจะทำความเข้าใจถึงพฤติกรรมและธรรมชาติของแมวที่ตนเองเลี้ยงไว้ให้อยู่กับเราไปนานๆ ดังพฤติกรรมต่างๆ ของแมวดังนี้
1.การส่งสัญญาณ โดยใช้กลิ่น
การส่งสัญญาณโดยใช้กลิ่นนั้นเกิดขึ้นมาจากการสัมผัส
โดยตรงและโดยอ้อม แมวจะมีต่อมกลิ่นอยู่บริเวณใต้ผิวหนังบริเวณแก้ม คาง เท้า และโคนหาง ซึ่งจะมี หน้าที่ทำการผลิตฮอร์โมนออกมา กลิ่นเหล่านี้จะทำหน้าที่ช่วยให้แมวจำกันได้
1.1 การทักทายของแมว
เมื่อแมว 2 ตัวมาเจอกัน จะทำการทักทายกัน ด้วยการสัมผัส โดยใช้หัว คาง แก้ม และสีข้างทำการ ถูตัว ไปมา แมวที่มีอายุน้อยกว่าจะเป็นฝ่ายที่ใช้หลังของมันถูคางของแมวตัวที่อายุมากกว่า
1.2 การแสดงความแข็งแรงเมื่อแมวต่อสู้กัน
แมวตัวที่ชนะจะทำการปล่อยกลิ่นหลายๆ ครั้งในบริเวณนั้น เพื่อเป็นการแสดงอาณาเขต ความมั่นใจ และความแข็งแรงให้คู่ต่อสู้ได้เห็น ส่วนฝ่ายที่แพ้ก็จะพยายามแอบมาปล่อยกลิ่นทับบริเวณนั้น โดยจะไม่ให้ฝ่ายที่ชนะเห็น
1.3 การแสดงอาณาเขต
แมวตัวผู้มักจะทำการปล่อยกลิ่นเพื่อแสดงถึงความเป็นเจ้าของบริเวณนั้น โดยจะยกหางให้ตั้งตรงขึ้นและแกว่งไปมา พร้อม กับปล่อยของเหลวจากต่อมใต้โคนหาง กลิ่นนี้จะคงอยู่ประมาณ 1-2 สัปดาห์ หรือมากกว่านี้และก็จาง
2.การรักษาความสะอาด
แมวเป็นสัตว์ที่รักความสะอาด ในแต่ละวันจะใช้เวลาในการทำความสะอาดมาก ในน้ำลายแมวจะมีสารที่ชื่อว่า “ดีเทอร์เจนต์” สารชนิดนี้จะทำหน้าที่ช่วยให้ขนของแมวสะอาดและมีกลิ่นหอมโดยในแต่ละวันแมวจะใช้ลิ้นเลียบริเวณขนของตัวมันเองเพื่อทำให้สิ่งสกปรกและขนที่หมดสภาพหลุดออกไป และเนื่องจากแมวจะมีต่อมเหงื่อบริเวณเฉพาะที่เท้าเท่านั้น การเลียขนจึงเป็นการควบคุมอุณหภูมิของร่างกายแมวอีกด้วย แมวนั้นสามารถใช้ลิ้นของมันเลียได้ทุกส่วนยกเว้นบริเวณหัวแต่ก็สามารถแก้ปัญหาได้โดยการเลียเท้า และใช้เท้าทำความสะอาดส่วนหัวที่ไม่สามารถเลียถึงบางครั้งจะเห็นแมว 2 ตัวกำลังผลัดกันเลีย
ขนของกันและกันในบริเวณที่เอื้อมไม่ถึง
ความสะอาดของแมวมีประโยชน์อย่างมาก กับการล่าเหยื่อ เพราะเมื่อทำการล่าเหยื่อแมวจะไม่ติดตามเหยื่อแต่จะใช้วิธีชุ่มจับ ดังนั้น แมวจึงต้องรักษาความสะอาดเพื่อที่
ว่าเหยื่อจะไม่ได้กลิ่นตัวของแมวนั่นเอง

3.การลับเล็บ
แมวจะชอบทำลายข้าวของ เช่นทำการตะกุยเก้าอี้ หรือเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้นการกระทำเหล่านี้ทำให้เกิดความเสียหาย ต่อผู้เป็นเจ้าของ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นพฤติกรรมการลับเล็บของแมว เพื่อทำการขัดเล็บที่เก่าออกไปให้เล็บใหม่ขึ้นมา และขณะที่ทำการลับเล็บ แมวจะทำการปล่อยกลิ่นจาก ต่อมเหงื่อที่มีกลิ่นพิเศษ เพื่อให้แมวตัวอื่นรู้ว่าเฟอร์นิเจอร์เหล่านี้มีเจ้าของ
4.การเคล้าแข้งเคล้าขา
พฤติกรรมของแมวที่ชอบทำการเคล้าแข้งเคล้าขาคนนั้น ไม่เพียงแต่จะแสดงออกถึงความเป็นมิตรแต่บางครั้งยังเป็นการปล่อยกลิ่นชนิดพิเศษมาจาก ต่อมกลิ่นที่อยู่บริเวณขมับและที่โคนหางของมันใส่คนหลังจากที่ทำการปล่อยกลิ่นใส่แล้วจะช่วยทำให้แมวอารมณ์ดี นอกจากการปล่อยกลิ่นใส่แล้ว แมวยังจำกลิ่นตัวที่มันคลอเคลียด้วยการเลียขนของมันเอง
5.การแสดงออกทางใบหน้า
ใบหน้าของแมวสามารถบ่งบอกถึงอารมณ์
ต่างๆที่แสดงออกมาดังนี้
หนวด
- ถ้าหากหนวดมีลักษณะไปอยู่ด้านข้างเป็น
พุ่ม แสดงถึงความสงบสบายใจและความเป็นมิตร - ถ้าหากหนวดมีลักษณะลาดและรวบไปไว้ข้างแก้ม จะแสดงถึงว่าตอนนี้อยู่ในท่าที่
ระมัดระวัง หรืออาย - ถ้าหากหนวดมีลักษณะแผ่ออก แสดงว่ากำลังสนใจอะไรบางอย่าง หรือมีสิ่งที่น่าตื่นเต้น

หู
หูเป็นส่วนหนึ่งที่รับรู้ความไว
- ถ้าหากหูมีลักษณะถูกยกยื่นไปข้างหลังนั้นเป็นการเตือนภัยว่ามีศัตรูอยู่บริเวณนี้
- ถ้าหากหูมีลักษณะโค้งกลับและ ถูกดึงให้ต่ำลงข้างๆ เป็นการแสดงถึงการป้องกันตัวและพร้อมที่จะต่อสู
6.กิริยาท่าทาง
หัว
เมื่อแมว 2 ตัวที่ไม่เคยรู้จักกันมาเผชิญหน้ากัน การทำความรู้จักของแมวนั้นคือการยืดหัวที่ตั้งตรงไปข้างหน้า
ถ้าหากตัวใดรู้สึกว่าตัวเองเด่นกว่าจะทำการเชิดหัวให้สูงขึ้นไปอีก ส่วนตัวที่ด้อยกว่าจะทำการก้มหัวให้ต่ำลง
ลำตัว
- ลำตัวโค้งงอหรือหลังโก่ง แสดงถึงความกลัวและพร้อมที่จะจู่โจม
- ลำตัวยืดตรง แสดงถึงความมั่นใจ
ทาง - อาการยกหางขึ้นและเข้าไปดมกันของแมวตัวอื่นแสดงถึงความเป็นมิตรหรือยินดีต้อนรับ
- อาการสะบัดหางจากทางหนึ่งไปยังอีกทางหนึ่งแสดงถึงความรู้สึกตื่นเต้นมาก
- อาการม้วนหาง แสดงถึง
ความรู้สึกกลัว - อาการเหยียดหางยาวอยู่
ข้างหลังเมื่อเดินผ่านประตู แสดง
ว่าแมวกำลังอยู่ในสภาวะป้องกันตัว - อาการแกว่งหางไปมาแสดงถึงว่าตอนนี้กำลังมีความ
ขัดแย้งทางอารมณ์ แต่ถ้าหาก
หยุดแกว่งหางแสดงว่าตัดสินใจได้แล้ว
ขน
เมื่อแมวอยู่ในสภาวะที่กำลังกลัว ขนจะตั้งขันขึ้นทั้งตัว ในกรณีที่ขู่หรือเตรียมจะตะปบเหยื่อ ขนจะตั้งชันเพียงเล็กน้อย ที่บริเวณลำตัวและหาง
7. การส่งเสียง
เสียงร้องของแมวเป็นสิ่งที่คนเรารู้จัก กันทั่วไปในเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ (เหมียวเหมียว) ของแมว อาจจะเกิดได้จากการที่ลูกแมวถูกปล่อยทิงไว้หรือไม่มีความสุขบางครั้งแมวจะร้องเมื่อเกิดความไม่พอใจและจะร้องเสียงสูงขึ้น และอาจยังร้องเรียกหาคู่ได้อีกด้วย
การทำเสียงแหลม
เมื่อแมวตกอยู่ในสภาพเครียดจัด มันจะแสดงความโกรธโดยการส่งเสียงแหลมๆซึ่งเรียกว่า “เสียงป้องกันตัว” ออกมาถี่ๆนอกจากนี้ เสียงร้องที่สูงและต่ำก็เพื่อเป็นการแสดงถึงการจับคู่กัน
การทำเสียง
การทำระดับเสียงให้สูง จะแสดงถึงความเป็นมิตร และความยินดีที่จะเป็นเพื่อนด้วย ถ้าหากมีการร้องเบาๆ หมายถึงการสนทนาอย่างเป็นกันเอง
การทำเสียงคำราม
เสียงคำรามของแมวนั้นจะทำได้โดยโดยการยกมุมปาก การคำรามอย่างเต็มกำลังจะแสดงถึงความจริงจัง

8.การมองเห็น
แมวมีสายตาในการมองเห็นภาพได้ดีเยี่ยมในการล่าเหยื่อ แมวจะมองเห็นภาพที่แตกต่าง กันไป ตาของแมวมีความสามารถในการรวบรวมแสงและมองเห็นได้ชัดเจนในที่มีแสงน้อยกว่าปกติ ถึง 10 เท่า จอตาของแมวสามารถรวบรวมแสงได้มากกว่ามนุษย์ และยัง มีเซลล์เยื่อชั้นพิเศษที่สามารถทำหน้าที่เหมือนกระจกคอยสะท้อนแสงกลับผ่านจอตาไป แล้วนำกลับมาเพิ่มความเข้มได้ ตาของแมวจะรับแสงได้ 2 ทาง ทั้งโดยตรงและการสะท้อนแสงกลับ เป็นสาเหตุทำให้ตาแมวสามารถเรื่องแสงออกมาในที่มีดได้ ส่วนด้อยของตาแมว เมื่อทำการเทียบกับตามนุษย์ คือ ความคมชัด แมวไม่อาจ มองเห็นรายละเอียดต่างๆ ได้ประมาณ/5 ของสายตามนุษย์แมวสามารถวิเคราะห์สัญญาณภาพได้ 2 สี คือ สีน้ำเงินและสีเขียว สีที่แมวสามารถมองเห็นนั้นค่อนข้างจะจางมาก ทำให้แมวเห็นภาพเป็นสีเทาชีด ทั้งนี้เพราะแมวนั้นไม่มีความจำเป็นต้องมองเห็นสีสัน แต่ต้องการมองเห็นเพียงแค่การเคลื่อนไหวของเหยื่อ ซึ่งการเคลื่อนไหวที่แมวสามารถมองเห็นได้ชัดคือการเคลื่อนไหวในแนวราบ นอกจากนี้แมวยังมีสายตาสั้น สามารถมองเห็นได้ในระยะประมาณ 20ฟุต ทำให้ต้องล่าเหยื่อในระยะประชิดตัวโดยการกระโดดจู่โจมเข้าหาก่อนที่เหยือจะรู้ตัวถ้าหากว่า แมวนั้นไม่สนใจจะจ้องสิ่งใดเป็นพิเศษ ลูกดาของแมวจะทำการเลื่อนห่างออกไปจากกันจนชิดขอบดา อีกข้าง ทำให้สามารถเพิ่มมุมมองได้อย่างกว้างขึ้น นอกจาก นี้ตาของแมวนั้นยังมีลักษณะพิเศษ คือ มีเยื่อบางๆ คอยคลุมแก้วตาอีกชั้นเพื่อช่วยป้องกันประสาทตา และยังช่วยให้สามารถหลับตาเพื่อต้านแสงอาทิตย์ได้ เมื่อแมวหลับลองจับเปลือกตาของแมวเปิดดูจะเห็นเยื่อบางแผ่นนี้ได้
9.การล่าเหยื่อ
แมวมีสัญชาตญาณของนักล่า แมวนั้นจะชอบออกหาเหยื่อตามลำพังในเวลากลางคืน สัตว์ที่แมวทำการล่า ส่วนใหญ่จะเป็นหนูและสัตว์ชนิดเล็กๆ ที่ออกหากินในเวลากลางคืน การล่าเหยื่อนี้จะมีการเรียนรู้ตั้งแต่ยังเป็น ลูกแมวจากแม่แมวและแมวตัวอื่นๆ โดยการที่แม่แมวคาบเหยื่อกลับมาที่รังนั้นได้ทำให้ลูกแมวเรียนรู้ว่าสัตว์ชนิดไหนที่ควรทำการล่า เมื่อลูกแมวได้เห็นวิธีการและทำการฝึกอยู่เสมอเมื่อโตขึ้นจะเป็นนักล่าที่ดี
แมวจะมีความอดทนรอคอยเหยื่อได้เป็นเวลานานๆเมื่อเหยื่อโผล่ออกมามันจะทำการตะครุบทันที เมื่อจับเหยื่อได้มันจะวิ่งพร้อมกับสะบัดเหยื่อไปตามพื้นจนกว่าเหยื่อจะหยุดดิ้น ขณะที่แมวจะเข้าไปหาเหยื่อ มันจะแสดงท่าทางหมอบและทุบหูและหางให้ต่ำลงเพื่อไม่ให้เหยื่อรู้ตัว แต่ปลายหางของแมวนั้นจะแกว่งอยู่ตลอดเวลาเพื่อจับจังหวะ บางครั้งแมวจะทำการกระโจนเข้าหาเหยื่อในลักษณะที่ขาคู่หลังคงที่อยู่กับพื้น และกัดเหยื่ออย่างแรงบริเวณลำคอ

10.ประสาทสัมผัส
แมวเป็นสัตว์ที่มีการเคลื่อนไหวตัวโดยให้น้ำหนักทุกส่วนของร่างกายอยู่บริเวณอุ้งฝ่าเท้า เพื่อให้การทรงตัว
เกิดความสมดุลย์ ข้อเท้า ขา และช่วงหลังของสามารถโค้งงอได้ โครงสร้างกระดูก-สันหลังและระหว่างนิ้วเท้าทั้ง 4 ข้าง ที่ข้อนิ้วเท้าจะสามารถเชื่อมติดกับอุ้งฝ่าเท้า นอกจากนี้บริเวณศีรษะจะสามารถหมุนพลิกไปด้านหลังได้องค์ประกอบของโครงสร้างกระดูกสันหลังจะเชื่อมโยงสู่ทุกส่วนต่างๆ ของกล้ามเนื้อ กลายมาเป็นแหล่งกำลังสะสม บริเวณพื้นที่ของกระดูกเชิงกรานและขาหลังจะมีความแข็งแรงและแกร่งมากเป็นพิเศษ แมวนั้นมีความสามารถในการกระโดดอย่างวิเศษสุดในบรรดาสัตว์ 4 เท้า ช่วงคอและไหล่ของแมวจะมีกล้ามเนื้อคอยช่วยให้สามารถจับเหยื่อได้อย่างแม่นยำ แมวสามารถทรงตัวในกลางอากาศได้แม้ว่าจะตกลงมาจากที่สูง การที่แมวทรงตัวอยู่ได้นั้นเป็นเพราะกระดูกสันหลังที่ยึดหยุ่นได้ เมื่อแมวรู้สึกตัวว่ากำลังตกลงมาจากที่สูง มันจะบิดหลังจนกระทั่งหัวและขาของมันชี้สู่พื้น จากนั้นก็ตวัดหางขึ้นเพื่อช่วยหมุนลำตัวด้านหลังกลับมาอย่างเดิมแมวจะทำการแผ่ขาทั้ง 4 ขาลงสู่พื้นเพื่อรองรับน้ำหนักตัว แต่ถ้าหากแมวตกลงมาจากที่สูงมากๆ อาจจะได้รับอันตรายได้
11.การสัมผัส
แมวนั้นจะใช้หนวดของมันทำการสัมผัส ที่หนวดแมวมีเส้นประสาท เมื่อปลายหนวดทำการสัมผัสกับสิ่งกีดขวางเส้นประสาทก็จะเกิดการรับรู้จากการกระตุ้นทำให้แมวรู้สึกถึงสิ่งนั้นและตำแหน่งของสิ่งนั้นๆ ถ้าหากแมวได้เดินเข้าไปในท่อหรืออุโมงค์มืด มันจะทำการกางหนวดออกมาเพื่อสัมผัสผนังทั้ง 2 ด้าน ทำให้รู้ว่าจะสามารถผ่านไปได้หรือไม่ ดังนั้นจึงไม่ควรทำการถอนหนวดแมวหรือตัดหนวดของแมวทิ้ง
12.การนอนหลับ
แมวจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการนอน
ซึ่งคิดเป็นเวลาประมาณ 70-80 เปอร์เซ็นต์ของแต่ละวันการนอนของแมวนั้นจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ ที่เรียกว่า การงีบ ขณะกำลังนอนหลับแมวจะสามารถรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นต่างๆ รอบตัวของมันได้ เสียงใดๆที่แมวได้ทำการวิเคราะห์แล้วว่าไม่เกี่ยวข้องและไม่เป็นอันตรายกับตัวของมันเอง แมวจะทำการปิดกั้นเสียงนั้นและนอนหลับต่อที่เป็นเช่นนี้เพราะว่าแมวเป็นสัตว์กินเนื้อ ซึ่งจำเป็นต้องรักษาพลังงานให้มากที่สุดเป็นเพื่อใช้ในการล่าเหยื่อ

13.ความฉลาด
แมวจัดได้ว่าเป็นสัตว์ที่มีความฉลาด เพราะสามารถปรับตัวตามสภาพแวดล้อมได้ดีกว่าสัตว์
ชนิดอื่นๆ ในโลก ถ้าหากเปรียบเทียบความฉลาดของแมวกับมนุษย์เป็นการยากที่จะเปรียบเทียบเพราะมนุษย์มีสมองหนักถึง 3 ปอนด์ และมีเซลล์ประสาทมากกว่า 100,000 ล้านเซลล์ ในขณะที่แมวมีมันสมองหนักเพียง 1-2 ปอนด์ และเชลล์ประสาทเพียง 10,000 ล้านเซลล์เท่านั้นแมวมีความสามารถในการเรียนรู้ เช่น เมื่อผู้เลี้ยงเปิดอาหารกระป๋องแล้วเทลงใส่จาน และแมวยื่นหัวออกมาทำให้อาหารหล่นใส่หัวครั้งต่อไปแมวก็จะยื่นหัวออกมารับอาหารอีก เพราะแมวคิด
ว่าต้องทำแบบนี้ก่อนจึงจะได้อาหาร พฤติกรรมเหล่านี้เรียกว่า “พฤติกรรมแบบลูกโซ่”
14.การดมกลิ่น
แมวมีจมูกที่ไวกว่ามนุษย์หลายเท่าตัวเนื่องจากต่อมประสาทการรับกลิ่นของแมวโตกว่าถึง 10 เท่าตัว และยังมีระบบรับความไวของกลิ่นสำรองอีกชุด เมื่อใดที่แมวต้องการจะทำการพิสูจน์กลิ่นให้ชัดเจน มันจะทำการยึดคอ อ้าปากทำท่าเหมือนหอบหายใจ ซึ่งเป็นการดึงกลิ่นเข้ามาในปาก กลิ่นจะผ่านไปตามท่อเล็กๆ 2 ท่อตรงไปยังต่อมความไวกลิ่นสำรอง ดังนั้นถ้าหากแมวมาเคล้าแข้งเคล้าขาหรือถูไถตามสิ่งของ ต่างๆ ระบบของต่อมกลิ่นข้างแก้ม หน้าผาก และ สีข้างของแมวจะทำการปล่อยกลิ่นออกมาเพื่อให้แมวตัวอื่นที่มาเข้าใกล้รับรู้ถึงอาณาเขต
15.การคาบลูก
แม่แมวส่วนใหญ่จะห่วงลูกและค่อยดูแล ป้องกันอันตรายไม่ให้เกิดกับลูกน้อยของมันเมื่อลูกแมวเดินออกมาห่างไกลเกินไปแม่แมวจะคาบลูกกลับไปไว้ในรัง โดยการใช้ปากคาบตรงหลังคอพากลับไปเพื่อหลบหลีกศัตรูที่จะทำอันตรายแก่ลูกแมว
16.การปีนป่าย
แมวส่วนใหญ่เป็นนักปืนป่ายที่คล่องแคล่วว่องไว แมวจะใช้ขาและกรงเล็บยึดตัวไว้บน กิ่งไม้ และลูกแมวจะต้องทำการเรียนรู้ทักษะการปืนป่ายโดยการลองปืนถึงแม้ว่าจะถูกหรือผิดก็ตาม

ที่มาจากหนังสือคู่มือสำหรับการเลี้ยงแมวไทย